การปฏิรูปการบริหารจัดเก็บภาษีสังหาริมทรัพย์ในสาธารณรัฐประชาชนจีน
สภาแห่งชาติสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ผ่านความเห็นชอบการพิจารณาร่างกฎหมายภาษีจากการนำเสนอของคณะกรรมการการปฏิรูปและการพัฒนาแห่งชาติ (NDRC) กรณีการปฏิรูปการบริหารจัดเก็บภาษีสังหาริมทรัพย์ ซึ่งการปฏิรูปกฎหมายดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติสำหรับระยะเวลา 5 ปี
การปฏิรูปการบริหารจัดเก็บภาษีสังหาริมทรัพย์มุ่งเน้นสำหรับการเช่าหรือการลงทุนสร้างที่อยู่อาศัยมากกว่าการสนับสนุนให้เป็นเจ้าของผู้ครอบครอง เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลจัดเก็บภาษีสังหาริมทรัพย์เฉพาะกรณี การโอนทรัพย์สินเท่านั้น แต่นักวิเคราะห์ด้านภาษีอากรเห็นว่าการจัดเก็บภาษีจากการให้เช่าหรือการลงทุนสร้างที่อยู่อาศัยจะมีประสิทธิภาพ มากกว่า ดังนั้น การปฏิรูปกฎหมายภาษีนั้น นักลงทุนส่วนใหญ่คาดว่าอาจทำให้ตลาดการค้าอสังหาริมทรัพย์คึกคักอีกครั้งหนึ่ง และมูลค่าราคาที่อยู่อาศัยจะเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ ซึ่งจำนวนภาษีที่รัฐบาลจัดเก็บจากการโอนทรัพย์สินก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
รัฐบาลเวียดนามหารือการจัดเก็บภาษีจากสิ่งแวดล้อม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเวียดนาม (Mr.Vu Van Ninh) ได้นำส่งข้อมูลเพิ่มเติมต่อรัฐสภาสำหรับธุรกิจและรายการผลิตภัณฑ์บางประเภทที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาความเห็นชอบให้มีผลใช้บังคับก่อนปี 2554 โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรม การค้าขายและการนำเข้าสินค้าบางรายการ ทั้งนี้ การจัดเก็บภาษีดังกล่าวรัฐบาลจะพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อมิให้เกิด ผลกระทบต่อการแข่งขันการลงทุนในระบบเศรษฐกิจและให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงการจัดเก็บภาษีชนิดอื่นๆ ด้วย
อย่างไรก็ดี รัฐบาลแจ้งเพิ่มเติมว่า เพื่อรักษาระดับการแข่งขันในระบบธุรกิจ รัฐบาลได้กำหนดให้อุตสาหกรรม 5 ประเภท ได้แก่ น้ำมันและก๊าซ ถ่านหิน ก๊าซไฮโดรคลอโรฟลูโอคาร์บอน ถุงพลาสติก และยาปราบศัตรูพืช ต้องเสียภาษีสิ่งแวดล้อม และขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดอัตราภาษีและคาดว่าการใช้บังคับกฎหมายภาษีดังกล่าวทำให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้น 745 ล้านดอลล่าร์
ไต้หวันลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
รัฐสภาไต้หวันได้ผ่านความเห็นชอบให้ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากอัตราร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 17 และลดอัตราภาษีเงินได้สำหรับบริษัทข้ามชาติที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในไต้หวันเป็นอัตราร้อยละ 15 โดยให้มีผลใช้บังคับย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวแจ้งว่า รัฐบาลได้ประกาศลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง (จากอัตราร้อยละ 25 ในปี 2552) ซึ่งเท่ากับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลในสิงคโปร์แต่ยังคงสูงกว่าอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลในฮ่องกง (ร้อยละ 16.5) เนื่องจากรัฐบาลต้องการสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนไต้หวันที่ไปลงทุนในต่างประเทศกลับมาลงทุนภายในประเทศเพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างสูงสุด
รัสเซียวางแผนเพื่อ จัดเก็บภาษีจากเครื่องดื่มประเภทมีแอลกอฮอล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรัสเซียได้แนะนำให้มีการเพิ่มราคาเครื่องดื่มโดยวัดจากระดับแอลกอฮอลเพื่อลดปริมาณผู้ป่วยที่มีผลกระทบจากการดื่มสุราอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ทั้งนี้ รัฐบาลแนะนำให้เพิ่มราคาเช่น วอดก้า 1 ขวดปริมาณ 0.5 ลิตร กำหนดราคาที่ 6.35 ดอลล่าร์ และภาษีสรรพสามิตที่เก็บจากบุหรี่จำนวน 18.80 ดอลล่าร์ต่อ 1,000 ยูนิต ภายในปี 2556
ในขณะที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง การคลัง (Mr.Sergai Shatalov) แจ้งว่า รัฐบาลได้วางแผนในอีก 3 ปีข้างหน้าให้จัดเก็บภาษีเครื่องดื่มประเภทมีแอลกอฮอลเพิ่มขึ้น 3 เท่า ต่อจำนวนปริมาณ 1 ลิตร โดยเริ่มต้นจากวอดก้าที่มีราคาต่ำสุดเริ่มตั้งแต่ราคา 90-120 รูเบิล ในปี 2554 ราคา 160 รูเบิลในปี 2555 และราคา 200 รูเบิลในปี 2556 เนื่องจากตามสถิติการบริโภคเครื่องดื่มประเภทดังกล่าวในประเทศมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่านับตั้งแต่ปี 2533 และมีผู้บริโภคที่เป็นผู้ป่วยจากการติดสุราเรื้อรังมากกว่า 2 ล้านคน ดังนั้น ในปีที่ผ่านมารัฐบาลจึงได้กำหนดให้เพิ่มราคาเบียร์ขวดละ 3-9 รูเบิลต่อลิตร ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการลดจำนวนการผลิตเบียร์ลงในอัตราร้อยละ 15 ในสี่เดือนถัดมา เมื่อเทียบกับการผลิตเบียร์ในระยะเวลาเดียวกันกับปีก่อน นอกจากนี้ รัฐบาลยังสามารถจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากบุหรี่ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 จากการเพิ่มราคาบุหรี่ขึ้นเป็น 2 เท่า เนื่องจากตลาดค้าขายบุหรี่ในรัสเซียมีผู้ผลิตที่ผูกขาด เพียงแค่ 3 รายเท่านั้น ได้แก่ บุหรี่ที่ผลิตโดยญี่ปุ่น บุหรี่ที่ผลิตโดย Philip Morris และบุหรี่ที่ผลิตโดย British American Tobacco
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการเครื่องดื่มประเภทมีแอลกอฮอลโต้แย้งว่า ในกรณีที่รัฐบาลกำหนดให้เพิ่มราคาเครื่องดื่มประเภทดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการอย่างรุนแรง ทำให้ผู้ประกอบการอาจลักลอบการผลิตเครื่องดื่มประเภทที่มีแอลกอฮอลอย่างผิดกฎหมาย (การผลิตสุราเถื่อน) ซึ่งรัฐบาลอาจต้องเพิ่มความรุนแรงในการปราบปรามการผลิต และประเด็นที่สำคัญที่สุดที่รัฐบาลควรพิจารณาให้รอบคอบคือ ขณะนี้เหลือเวลาอีกไม่นานที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2554 และ 2555 ดังนั้น มาตรการที่กำหนดขึ้นดังกล่าวอาจทำให้รัฐบาลจะไม่ได้รับเสียงสนับสนุนอีกก็ได้
โวดาโฟน (Vodafone) อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลสูง ในการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรอินเดีย
บริษัท UK telecoms multinational Vodafone ได้อุทธรณ์คำสั่งของกรมสรรพากรอินเดียต่อศาลสูงแห่งเมืองบอมเบย์ กรณีการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายจำนวน 11.1 พันล้านดอลล่าร์ ในปี 2550 จากการขายหุ้นร้อยละ 67 ที่มีอยู่ในบริษัท Hutchison Essar (บริษัทโทรคมนาคมในอินเดีย)
ข้อโต้แย้งดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ Vodafone International Holding BV (VIH) (บริษัทดัทซ์) ซื้อหุ้นในบริษัท Hutchison Essar (บริษัทโทรคมนาคมในอินเดีย) จากบริษัทที่ตั้งอยู่ที่ เกาะเคย์แมนซึ่งเป็นบริษัทในเครือกับบริษัท Hutchison Telecommunications Inter-national Ltd (HTIL) (บริษัทฮ่องกง) และมีบริษัทของชาวมอริเชียสเป็นบริษัทตัวกลาง ในการดำเนินการซื้อขายระหว่างบริษัทในเกาะเคย์แมนกับผู้ถือหุ้นในบริษัท Hutchison Essar
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่สรรพากรอินเดีย ได้ตรวจสอบแล้วยืนยันว่า การซื้อหุ้นในบริษัทที่ตั้งอยู่บนเกาะเคย์แมนเป็นเพียงวิธีการหรือเครื่องมือในการโอนทรัพย์สินที่ตั้งอยู่ในอินเดียเท่านั้น ดังนั้น กรณีการทำธุรกรรมระหว่าง VIH กับ HTIL ไม่ว่าจะมีรูปร่างหรือไม่มีรูปร่างก็ตาม ย่อมถือเป็นการโอนดอกเบี้ยในบริษัทอินเดีย ทั้งนี้ คดีอุทธรณ์ดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลสูงแห่งเมืองบอมเบย์อีกครั้งหนึ่ง ในขณะที่ VHI กล่าวว่า VHI ได้รับ คำปรึกษาจากที่ปรึกษากฎหมายภาษี ซึ่งจาก ข้อเท็จจริงในการทำธุรกรรมVHI ไม่อยู่ในข่าย ที่ต้องถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และ VHI สามารถตอบข้อโต้แย้งในรายละเอียดได้ในทุก ขั้นตอนอย่างชัดเจน
บริษัทฟอร์ดถูกปฏิเสธการขอคืนเงินภาษี
แหล่งข่าวแจ้งว่า ศาลกลางแห่งเมือง ดีทรอยต์ สหรัฐอเมริกา ได้ปฏิเสธการขอคืนเงินภาษีของบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ จำกัด เป็นจำนวนเงิน 445 ล้านดอลล่าร์ เนื่องจากบริษัทฯ ได้ชำระภาษีไว้เกินกว่าจำนวนภาษีที่พึงชำระ และบริษัทฯ มีหนี้ดอกเบี้ยค้างชำระจากการชำระภาษีล่าช้ากว่าระยะเวลาที่กรมสรรพากรสหรัฐฯ กำหนด ทั้งนี้ บริษัทฯ แจ้งว่าได้ส่งพันธบัตรเงินสดให้กับกรมสรรพากรสหรัฐฯ (IRS) เพื่อเป็นเงินมัดจำให้กรมสรรพากรสหรัฐฯ ระงับรายการเคลื่อนไหวของดอกเบี้ยจากการถูกประเมิน ต่อมาจึงได้สอบถามกรมสรรพากรสหรัฐฯ เพื่อนำเงินมัดจำไปชำระดอกเบี้ยจากการถูกประเมิน
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่สรรพากรสหรัฐฯ แจ้งว่า บริษัทฯ ได้ชำระภาษีไว้เกินกว่าจำนวนภาษีที่พึงชำระ ซึ่งบริษัทฯ สามารถขอคืนเงินภาษีได้ แต่เนื่องจากกรมสรรพากรสหรัฐฯ คำนวณดอกเบี้ยที่บริษัทฯ พึงชำระจากวันที่ได้มีการแปลงหนี้ ไม่ใช่วันที่บริษัทฯ มัดจำ แต่การมัดจำเงินเสมือนการชำระภาษีแล้ว ซึ่งบริษัทฯ โต้แย้งว่าการคำนวณดอกเบี้ยที่เกิดจากการชำระภาษีล่าช้าควรคำนวณตั้งแต่วันแรกที่มีการมัดจำ
อิตาลีแนะนำคู่มือการตั้งราคาโอน
ขณะนี้รัฐบาลอิตาลีได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 78 สำหรับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเอกสารประกอบการพิจารณากรณีการตั้งราคาโอน (Transfer Pricing) เพื่อให้สอดคล้องกับคู่มือการตั้งราคาโอนขององค์กรเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD)
พระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับดังกล่าวเสมือนเครื่องมือชนิดหนึ่งที่เป็นตัวชี้วัดในการรักษาระดับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งประกอบไปด้วยหลักเกณฑ์ต่างๆ เช่น การป้องกันการฟอกเงินและฉ้อโกง ความร่วมมือระหว่าง เจ้าหน้าที่กรมสรรพากร การบริการให้ความคุ้มครองหลักทรัพย์ การกำหนดกฎหมายทาง การเงิน และกฎหมายเพื่อใช้บังคับในเทศบาลเมือง เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการปฏิบัติของกฎหมายในสหภาพยุโรป (EU) และองค์กรเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD)
พระราชกฤษฎีกาฯ ได้กำหนดประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการตั้งราคาโอนว่า สำหรับผู้เสียภาษีชาวอิตาลีที่ไม่ใช่ผู้ที่ได้รับมอบอำนาจของบริษัท จะไม่ถูกบังคับให้ชำระค่าปรับจากการ ถูกประเมินการตั้งราคาโอน หากได้รับเอกสารการตรวจสอบการตั้งราคาโอนจากเจ้าหน้าที่ กรมสรรพากรและนำหลักฐานที่เป็นปัจจุบันเพื่อยืนยันการกำหนดราคาที่เป็นไปตามราคาตลาด ทั้งนี้ หากไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เจ้าหน้าที่สรรพากรจะตรวจสอบและประเมินภาษีซึ่งรวมถึงการชำระค่าปรับที่อาจสูงถึง ร้อยละ 100 – 200 นอกจากนี้กรมสรรพากรอิตาลีจะได้ออกคู่มือการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการป้องกันการตั้งราคาโอนรวมถึงรายการเอกสารหลักฐานที่ผู้เสียภาษีต้องแนบเพื่อประกอบการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ด้วย