ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่11ตุลาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถใน การแข่งขันของประเทศและรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี พ.ศ. 2558 โดยการปรับลดอัตราการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลซึ่งมีรายละ เอียด ดังนี้
1. ปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลให้คงจัดเก็บในอัตราร้อยละ 23 ของกำไรสุทธิสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีรอบระยะเวลา บัญชี 2555 ที่สิ้นสุดในหรือหลังวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555 และให้ลดลงคงจัดเก็บอัตราร้อยละ 20ของกำไรสุทธิ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556 เป็นต้นไป
2. ปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้าย ของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท ทั้งนี้ ได้เพิ่มเงื่อนไขในการได้รับสิทธิประโยชน์โดยวิสาหกิจขนาดกลางและ ขนาดย่อมข้างต้นต้องมีรายได้จากการประกอบกิจการขายสินค้าและการให้บริ การไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อรอบระยะเวลาบัญชี โดยจะมีการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับกำไรสุทธิเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 150,000บาทให้เสียภาษีในอัตราร้อยละ15ของกำไรสุทธิสำหรับส่วนที่เกิน 150,000บาทแต่ไม่เกินหนึ่งล้านบาทสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มใน หรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2555 เป็นต้นไปให้เสียภาษีในอัตราร้อยละ23ของกำไรสุทธิเฉพาะส่วนที่เกิน หนึ่งล้านบาทสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่สิ้นสุดในหรือหลังวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555 และให้เสียภาษีในอัตราร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคมพ.ศ. 2556 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ดี หากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ข้างต้นมีทุนชำระแล้วเกินกว่าที่กำหนดหรือมีรายได้เกินกว่าหลักเกณฑ์ ที่กำหนดจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ภาษี และในปีต่อๆไปจะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราเดียวกับ นิติบุคคลโดยทั่วไป
3. สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เคยนำหลักทรัพย์มาจดทะเบียน กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 ซึ่งได้รับสิทธิเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิ จะได้รับการลดอัตราเหลือร้อยละ 23 ของกำไรสุทธิสำหรับรอบระยะเวลาบัญชี 2555 ที่สิ้นสุดในหรือหลังวันที่ 31 ธันวาคม 2555 และได้รับการลดอัตราเหลือร้อยละ 20 สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2556 เป็นต้นไป
4. ปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทที่ได้รับการจดทะเบียน หลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอโดยให้จัดเก็บในอัตราร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิเฉพาะส่วนที่ไม่เกินห้าสิบล้านบาท สำหรับรอบระยะเวลาบัญชี ๒๕๕๔ยกเว้นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอที่ได้รับสิทธิ ในการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชี 2554 โดยจะยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ในการเสียภาษีในอัตราร้อยละ 20 เช่นเดิม
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า “มาตรการภาษีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลซึ่งจะมีส่วนช่วยกระตุ้นและส่งเสริมการ ลงทุนของผู้ประกอบการในประเทศนอกจากนั้น มาตรการนี้ยังจะช่วยดึงดูดการลงทุนของนักลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้นอันจะ มีผลต่อการขยายฐานภาษีในระยะยาว และเป็นการรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่จะเกิดขึ้นในปี 2558ในส่วนผลกระทบของมาตรการภาษีข้างต้น คาดว่าจะมีผลกระทบต่อรายได้รัฐบาลในปีงบประมาณ 2555 ประมาณ 52,500 ล้านบาท แต่มาตรการข้างต้นจะส่งผลให้การจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นในระยะยาวซึ่ง จะชดเชยกับรายได้ที่สูญเสียไป นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและกระทรวง การคลังร่วมกันทบทวนการให้สิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุน เพื่อให้สอดรับกับสภาวการณ์และการให้สิทธิประโยชน์ในการส่งเสริม การลงทุนของต่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อเป็นการดูแลฐานภาษีเงินได้ของประเทศให้สอดคล้องกับการดำ เนินการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลในครั้งนี้
ดร. สาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “มาตรการภาษีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศข้างต้น นอกจากจะมีส่วนช่วยผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ แล้ว ยังจะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจ SMEs เติบโตอย่างมั่นคงสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ รวมทั้งจะมีส่วนช่วยบรรเทาภาระด้านภาษีให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผล กระทบจากอุทกภัยในขณะนี้ให้มีสภาพคล่องเพื่อใช้ในการฟื้นฟูกิจการมาก ยิ่งขึ้นโดยจะมีผลใช้บังคับสำหรับรอบระยะเวลาบัญชี 2555 เป็นต้นไป”
โทร. 02-272 9479