การยื่นแบบและคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปีการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิที่ได้จากการประกอบกิจการหรือเนื่องจากการประกอบกิจการของบริษัทหรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี มีหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณตามที่ประมวลรัษฎากรกำหนดไว้ ซึ่งการเสียภาษีเงินได้ดังกล่าวนอกจากจะต้อง ยื่นรายการและชำระภาษีเมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 68 แห่งประมวล รัษฎากรแล้ว เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีก่อนถึงกำหนดเวลายื่นรายการตามประมวลรัษฎากรมาตรา 68 กฎหมายยังกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลยื่นรายการและชำระภาษีงวดหกเดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชีตามประมวลรัษฎากรมาตรา 67 ทวิ ด้วย โดยให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจัดทำประมาณการกำไรสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีแล้วยื่นรายการเพื่อชำระภาษีจากจำนวนกึ่งหนึ่งของประมาณการกำไรสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น โดยให้ยื่นชำระภายในสองเดือนนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาหกเดือน นับแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าว หากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลไม่ยื่นประมาณการหรือแสดงประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นโดยไม่มีเหตุอันสมควร ก็จะต้องรับผิดตามประมวลรัษฎากรมาตรา 67 ตรี แต่ในทางปฏิบัติจริงนั้นอาจเกิดประเด็นที่มีความซับซ้อนแตกต่างไปจากที่กฎหมายกำหนดซึ่งจำเป็นต้องมีแนวทางสำหรับผู้ประกอบการได้พิจารณาอย่างกว้างขวางมากขึ้นด้วย บทความนี้จึงได้นำเสนอประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเลือกกรณีศึกษา ที่น่าสนใจจากแนวคำวินิจฉัยทั้งในส่วนของ คำพิพากษาศาลฎีกาและแนวคำวินิจฉัยของ กรมสรรพากร โดยมีกรอบการนำเสนอดังนี้
1. สาระสำคัญเบื้องต้น ประกอบด้วยกฎหมายหลักที่เกี่ยวข้อง หลักเกณฑ์การเสียภาษี และความรับผิดกรณีไม่ยื่นแบบหรือยื่นรายการไม่ครบถ้วน
2. ประเด็นปัญหาที่น่าสนใจ
3. แนวคำวินิจฉัย ประกอบด้วยแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาและแนวคำวินิจฉัยของกรมสรรพากร
1.สาระสำคัญเบื้องต้น
1.1 กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
(1) ประมวลรัษฎากร มาตรา 67 ทวิ ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 107) และประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 128) และประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 16)
(2) ประมวลรัษฎากร มาตรา 67 ตรี ประกอบกับคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.81/2542 ท.ป.120/2545 และ ท.ป.121/2545 คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.50/2537 ป.92/2542 และ ป.117/2545
1.2 หลักเกณฑ์การเสียภาษี
1.2.1 เสียภาษีจากกึ่งหนึ่งของประมาณกำไรสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชี 2
(1) ผู้มีหน้าที่เสียภาษี ประมวล- รัษฎากรได้กำหนดไว้ดังนี้
"การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากประมาณการกำไรสุทธินั้น กฎหมายกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลทั่วๆ ไป ที่มิใช่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรมาตรา 67 ทวิ (2) จัดทำประมาณการกำไรสุทธิ (ทั้งปี) ซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำ หรือจะได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชี ได้กำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิเท่าใด ให้นำกึ่งหนึ่งของกำไรสุทธิที่ประมาณการได้นั้นมาคำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากประมาณการกำไรสุทธินั้น ใช้บังคับเฉพาะบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เสียภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิเท่านั้น สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เสียภาษีตามเกณฑ์อื่น ไม่ต้องจัดทำประมาณการกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิเพื่อเสียภาษีแต่อย่างใด ได้แก่ มูลนิธิ สมาคม บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ ประกอบกิจการขนส่งระหว่างประเทศที่เสียภาษีจากยอดรายรับก่อนหักรายจ่าย สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เสียภาษีตามมาตรา 76 ทวิ (กรณีมีลูกจ้างผู้ทำการแทน หรือผู้ทำการติดต่อในประเทศไทย) แห่งประมวลรัษฎากร ต้องจัดทำประมาณการกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิเพื่อเสียภาษีด้วย เนื่องจากเป็นกิจการที่ต้องชำระภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิ"
(2) วิธีการคำนวณภาษี
การเสียภาษีจากกึ่งหนึ่งของประมาณ-การกำไรสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชี ตามมาตรา 67 ทวิ (1) แห่งประมวลรัษฎากร โดยจัดทำประมาณการกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ (ทั้งปี) จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำใน รอบระยะเวลาบัญชี ได้กำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิเท่าใดให้นำกึ่งหนึ่งของกำไรสุทธิที่ประมาณ-การได้นั้นมาคำนวณภาษีตามอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
การจัดทำประมาณการกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ เพื่อเสียภาษีสำหรับหกเดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชีนั้น ต้องคำนึงถึงเงื่อนไขการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิตามมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากรด้วย ซึ่งสามารถนำผลขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกิน 5 ปี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบันมาถือเป็นรายจ่ายได้
ตัวอย่าง บริษัท ก.จำกัด ได้ประมาณการกำไรสุทธิสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2540 เท่ากับ 500,000 บาท บริษัทจะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากประมาณกำไรสุทธิ ดังนี้
• ประมาณการกำไรสุทธิทั้งรอบระยะเวลาบัญชี 500,000 บาท
• ประมาณการกำไรสุทธิสำหรับหกเดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี 250,000 บาท
• ภาษีเงินได้นิติบุคคล 30% ของ 250,000 บาท 75,000 บาท
(3) การยื่นแบบแสดงรายการภาษีและการชำระภาษี
ใช้แบบ ภ.ง.ด.51 พร้อมชำระภาษี ภายใน 2 เดือนนับแต่พ้นงวด 6 เดือนแรก
1.2.2 การเสียภาษีจากการกำไรสุทธิของรอบระยะเวลา 6 เดือนนับแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชี 3
(1) ผู้มีหน้าที่เสียภาษี ได้แก่
(ก) บริษัทจดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
(ข) ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์
(ค) บริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
(ง) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่ตามหลักเกณฑ์ประกาศ อธิบดีฯ เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 128)ฯ ลงวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ.2546
ในกรณีบริษัทจดทะเบียน ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ หรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด ให้คำนวณและชำระภาษีจากกำไรสุทธิของรอบระยะเวลาหกเดือนนับแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชี ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี
(2) วิธีการคำนวณภาษี
สำหรับการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิของรอบระยะเวลา 6 เดือนนี้ คำนวณได้โดยเอารายได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลา 6 เดือน หักด้วยรายจ่ายตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี จึงเห็นได้ว่า การคำนวณเสียภาษีกรณีนี้จะตรงกับความจริงมากกว่าการคำนวณเสียภาษีจากการประมาณการกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ เพราะรายได้และรายจ่ายที่นำมาคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ จะคำนวณเฉพาะรายได้และรายจ่ายที่เกิดขึ้นแล้วในรอบระยะเวลา 6 เดือนเท่านั้น แต่การคำนวณเสียภาษีจากการประมาณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ จะต้องคำนึงถึงรายได้และรายจ่ายในช่วง 6 เดือนหลังของรอบระยะเวลาบัญชีที่ยังไม่เกิดขึ้นด้วย ซึ่งอาจทำให้การประมาณการกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิผิดพลาดก็ได้ หากมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งนอกเหนือจากการคาดหมายของบริษัทฯ เกิดขึ้น
(3) การยื่นแบบแสดงรายการภาษีและการชำระภาษี
ใช้แบบ ภ.ง.ด.51 พร้อมกับชำระภาษีภายใน 2 เดือน นับแต่วันพ้นกำหนดงวด 6 เดือนแรก
ข้อพิจารณา
การยื่นแบบแสดงรายการ (ภ.ง.ด.51) ของบริษัทจดทะเบียน ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ รวมถึงบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับ 128) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 67 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2546 ให้นำรายได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลา 6 เดือนหักด้วยรายจ่ายตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติ-บุคคลดังกล่าว จึงมีสิทธินำผลขาดทุนสุทธิทั้งจำนวนยกมาไม่เกินห้าปีก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปีปัจจุบัน มาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 67 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากรได้
1.3 ความรับผิดกรณีไม่ยื่นแบบหรือยื่นรายการไม่ครบถ้วน
ในกรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ไม่ยื่นรายการเสียภาษีงวด 6 เดือนหรือยื่นรายการเกินกำหนดเวลา หรือยื่นรายการไม่ครบถ้วน จะต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มตามประมวล-รัษฎากรมาตรา 67 ตรี ซึ่งบัญญัติไว้
(1) กรณีการเสียภาษีจากกึ่งหนึ่งของประมาณกำไรสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชี
ในกรณีดังกล่าวเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจเรียกเก็บเงินเพิ่มภาษี โดยแยกกรณีความผิดออกได้ดังนี้
ก. กรณีไม่ยื่นรายการและชำระภาษีภายใน 2 เดือน นับแต่วันครบกำหนดรอบ ระยะเวลาหกเดือน โดยไม่มีเหตุอันสมควร เจ้าพนักงานประเมินอาจสั่งให้เสียเงินเพิ่มอีก ร้อยละ 20 ของกึ่งหนึ่งของจำนวนเงินภาษีที่ต้องเสียเมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี
ข. กรณียื่นรายการและชำระภาษีเมื่อพ้นกำหนดเวลา 2 เดือน นับแต่วันครบกำหนดรอบระยะเวลาหกเดือน โดยไม่มีเหตุอันสมควร เจ้าพนักงานประเมินอาจสั่งให้เสียเงินเพิ่มอีก ร้อยละ 20 ของเงินภาษีที่ต้องชำระตามแบบ ภ.ง.ด.51 ที่ยื่น (ใช้บังคับรอบระยะเวลาบัญชี ปี 2524 เป็นต้นไป จากร้อยละ 20 ของประมาณการกำไรสุทธิ)
ค. กรณียื่นรายการและชำระภาษีภายใน 2 เดือน นับแต่วันครบกำหนดรอบระยะเวลาหกเดือนแล้ว แต่แสดงประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเป็นจำนวนเกินกว่าร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น โดยไม่มีเหตุอันสมควร เจ้าพนักงานประเมินอาจสั่งให้เสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ของจำนวนภาษีที่ชำระขาดไป
(2) กรณีการเสียภาษีจากการกำไรสุทธิของรอบระยะเวลา 6 เดือนนับแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชี
ในการเสียภาษีจากกำไรสุทธิของรอบระยะเวลาหกเดือนดังกล่าว หากบริษัทซึ่งมี หน้าที่ต้องยื่นรายการเสียภาษี ไม่ยื่นรายการภายในกำหนดเวลา หรือยื่นรายการภายในกำหนดเวลา แต่ชำระภาษีขาดไป เจ้าพนักงานประเมินก็มีอำนาจเรียกเก็บเงินเพิ่ม โดยแยกกรณีความผิดได้ดังนี้
ก. กรณีไม่ยื่นรายการและชำระภาษีภายใน 2 เดือน นับแต่วันครบกำหนดรอบระยะเวลาหกเดือน เจ้าพนักงานประเมินอาจสั่งให้เสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ของจำนวนเงินภาษีที่ ต้องชำระ
ข. กรณียื่นรายการและชำระภาษีเมื่อพ้นกำหนดเวลา 2 เดือน นับแต่วันครบกำหนดรอบระยะเวลาหกเดือน เจ้าพนักงานประเมินอาจสั่งให้เสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ของจำนวนเงินภาษีที่ต้องชำระ
ค. กรณียื่นรายการและชำระภาษีภายใน 2 เดือน นับแต่วันครบกำหนดรอบระยะเวลาหกเดือนแล้ว แต่ชำระภาษีไว้ไม่ถูกต้อง โดยไม่มีเหตุอันสมควรทำให้จำนวนภาษีที่ต้องชำระขาดไป เจ้าพนักงานประเมินอาจสั่งให้เสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 ของจำนวนภาษีที่ชำระขาดไป
2.ประเด็นปัญหาที่น่าสนใจ
2.1 การยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีโดยประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกิน ร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ให้คำนวณเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 20 ของกึ่งหนึ่งของจำนวนภาษีที่ต้องชำระตามกำไรสุทธิที่ถูกต้องตามแบบ ภ.ง.ด. 50 โดยคำนวณจากภาษีที่ชำระไว้ขาดโดยไม่ต้องคำนึงถึงภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย ถูกต้องหรือไม่
ประเด็นดังกล่าว ได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7055/2544 ระหว่าง ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลมาลัยแมนบริการ (โจทก์) และกรมสรรพากร (จำเลย) วินิจฉัยว่า มาตรา 67 ตรีแห่งประมวลรัษฎากร บัญญัติให้บริษัทหรือห้าง-หุ้นส่วนนิติบุคคลที่แสดงประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น หรือของภาษีที่ชำระขาดแล้วแต่กรณี เช่นนี้เมื่อปรากฏว่าโจทก์มีภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายจะนำมาหักได้ตามกฎหมายโดยรอบระยะเวลาหกเดือนของรอบระยะเวลาบัญชีนั้น ซึ่งแบบ ภ.ง.ด. 51 ของจำเลยในช่องการคำนวณภาษีก็ยินยอมให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในรายการที่ 4 แล้ว จึงนำมาถือเป็นภาษีเงินได้ที่ต้องชำระเพิ่มเติมในรายการที่ 5 เช่นนี้ โจทก์ย่อมนำภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายที่โจทก์ได้จ่ายไปมาหักได้ การที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์นำหลักเกณฑ์ตามวรรคสอง ข้อ 2 ตามหนังสือที่ กค 0810/13103 ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2532 เรื่อง ซ้อมความเข้าใจในการขอยกเว้น เงินเพิ่มตามมาตรา 67 ตรี การเรียกเก็บเงินเพิ่มตามมาตรา 27 เบี้ยปรับตามมาตรา 22, 26 แห่งประมวลรัษฎากร กรณีนิติบุคคลประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินกว่าร้อยละ 25 และกรณี ไม่ยื่นประมาณการกำไรสุทธิซึ่งแปลความตามมาตรา 67 ตรี ในทางที่เป็นผลร้ายแก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา แต่กรมสรรพากรมีคำวินิจฉัยในการตอบข้อ หารือกรณีดังกล่าวต่างจากคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 7055/2544 ที่ให้นำภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย มาหักจากภาษีที่ต้องเสียก่อนคำนวณเงินเพิ่ม เนื่องจากเงินเพิ่มตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร มีเจตนาเป็นบทกำหนดโทษ ในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรา 67 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร หากให้นำภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย มาหักก่อนคิดเงินเพิ่มจะเกิดความไม่เป็นธรรม ต่อผู้ที่ยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด. 51 ภายในกำหนดเวลา และบทกำหนดโทษตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร จะไม่มีสภาพบังคับได้ ดังนั้น การคิดเงินเพิ่มในกรณีมิได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี ให้คำนวณเงินเพิ่มตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร จากภาษี ที่ต้องชำระทั้งสิ้น โดยไม่ต้องคำนึงถึงภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามข้อ 2 ของหนังสือที่ กค 0801/13103 ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2532 เรื่อง ซ้อมความเข้าใจในการขอยกเว้นเงินเพิ่มตามมาตรา 67 ตรี การเรียกเก็บเงินเพิ่มตามมาตรา 27 เบี้ยปรับตามมาตรา 22 มาตรา 26 แห่งประมวลรัษฎากร กรณีนิติบุคคลประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินกว่าร้อยละ 25 และกรณีไม่ยื่นประมาณการกำไรสุทธิ และหนังสือที่ กค 0802/266 ลงวันที่ 6 มีนาคม 25344 พิจารณาได้ตามตัวอย่างแนววินิจฉัยของกรมสรรพากรดังนี้5
ที่มา http://www.sanpakornsarn.com